“โรงแรมสามดาวอย่างเราก็สู้ไม่ไหว ต้องยอมเจ็บตัวน้อยที่สุด ปิดตัวชั่วคราวไปก่อนดีกว่าจนกว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวคึกคักเช่นเดิม” เสียงสะท้อนเล็กๆจาก ดร.ศชล เตลาน ผู้อำนวยการบริหาร “ซิมพลิเทล ภูเก็ต” ถ.ปฏัก ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต
นี่คือธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก 60 ห้องที่จังหวัดภูเก็ต อยู่ระหว่างปิดตัวชั่วคราวมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้วจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ถึงวันนี้แม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลแต่ก็ไม่เพียงพอ บวกกับโรงแรมขนาดใหญ่ 4-5 ดาว ปรับราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าคนไทย เราก็ยิ่งสู้ไม่ไหว
ดร.ศชล เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกเมษายนปีที่แล้ว ที่รัฐบาลสั่งปิดโรงแรมภูเก็ตทั้งหมดเรามีพนักงานไม่มาก 20 ชีวิตเท่านั้น พนักงานบางส่วนก็กลับบ้าน บางคนไปทำสวน…ทำนา ขายผลไม้ ปลูกผัก ได้เงินช่วยเหลือ ก็บอกว่าถ้ากลับมาเปิดเมื่อไหร่ก็กลับมาทำงานกันเหมือนเดิม
แต่…พนักงานบางส่วนลาออกไปเลย เราก็จ่ายชดเชยเต็มจำนวนซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าปัญหาจะเรื้อรังยาวนานมากน้อยแค่ไหน และทุกวันนี้มีพนักงาน 2-3 คนอยู่ทำงานดูแลอาคาร สถานที่
ปัญหาการแพร่ระบาดหนักหนาโดยทั่วไป หลายๆจังหวัดมีมาตรการต่างๆออกมาหลากหลายเฉพาะพื้นที่…จังหวัด “ภูเก็ต” ต้องยอมรับว่าทุกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกันผลักดันมากๆ ออกหลายๆมาตรการมาเพื่อกระตุ้น ที่ผ่านมาจะได้ยินประโยคที่ว่า…“ภูเก็ตต้องรอด” ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำกันได้
จังหวัดภูเก็ตพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ มีการเสนอมาตรการต่างๆ ไปยังรัฐบาล บางอย่างก็ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง และในท้ายที่สุด สิ่งที่ทุกคนรอคอยก็คือ “นักท่องเที่ยว” เมื่อไหร่จะกลับมา ในเรื่องการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“แคมเปญเฟิสต์ออคโทเบอร์…เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ต้องการว่าเราเปิดประเทศ จังหวัดภูเก็ตจะเป็นจังหวัดนำร่องในการรับนักท่องเที่ยว แล้วเราจะดูแล มีมาตรการวิธีการของเรา”
ถ้าไม่เกิดอะไรที่เลวร้ายขึ้นมาอีก แต่ปัญหามีว่า…ผู้ประกอบการไม่น้อยก็รอไม่ไหว นานเกินไปก็พยายามเร่งขึ้นมาเดือนกรกฎาคมได้ไหม แต่สถานการณ์วันนี้จะมีผลมากน้อยอย่างไร ก็คงต้องตั้งตารอลุ้นกันต่อไป ผู้ประกอบการภูเก็ตต้องการให้ทุกอย่างดีขึ้น ฉีดวัคซีนพนักงานโรงแรม เปิดการท่องเที่ยวชุมชน เจ้าของธุรกิจ พนักงาน ผู้คนทุกฝ่ายร่วมใจกัน…เพื่อสร้างเกราะป้องกันการแพร่ระบาด “โควิด-19”
ฉีดวัคซีนเพื่อเปิดประเทศได้ แล้วก็เกิดการระบาดระลอกล่าสุด…ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรกันต่อไป คิดแค่ว่า…ช่วงสั้นๆแค่ช่วง “สงกรานต์” นี้นักท่องเที่ยวคนไทยที่จองที่พักไว้จะมาเที่ยวกันไหม มากน้อยอย่างไร บางโรงแรมยอดจองเต็มแล้ว รถเช่าก็มีคิวเต็ม…จะราบรื่นไหม ยังต้องลุ้นกันต่อไปอีก
“ต้องดูสถานการณ์กันวันต่อวัน อาทิตย์ต่ออาทิตย์…มุมมองส่วนตัว ผู้ประกอบการเล็กๆอย่างไรเสียภูเก็ตก็ต้องรอนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเหมือนเดิม แคมเปญกระตุ้นให้คนไทยมาเที่ยวแค่ต่อลมหายใจสั้นๆเท่านั้น และไม่ใช่ว่าทุกโรงแรมจะได้รับผลประโยชน์ตรงนี้ โรงแรมเล็กๆ เกสต์เฮาส์ ก็ปิดกันหมด”
อนาคตวางแผนธุรกิจไว้อย่างไรบ้าง ก็คงต้องเดินหน้าตามวิถีนิวนอร์มอล นับตั้งแต่ในเรื่องของความสะอาด สุขอนามัย พนักงานผู้ให้บริการ ข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องเปลี่ยนไป…บางอย่างก็ต้องใช้แล้วทิ้งมากขึ้น
ยังไงๆก็เลี่ยงไม่ได้ ต้องพร้อมรับมือกับ “วิถีนิวนอร์มอล” ต่อไป
หากมองกันในภาพใหญ่ “วิกฤติโควิดสอนว่าต้องยกระดับสมรรถนะของชาติให้สูงสุด”
ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บอกว่า วิกฤติโควิดแสดงให้เห็นปัญหาที่เชื่อมโยงยาวไกลหลายมิติซับซ้อน เป็นวิกฤติความซับซ้อนที่บริหารจัดการยาก
กล่าวย้ำกันไปแล้วหลายต่อหลายครั้งในปัญหาที่ “ซับซ้อน” และ “ยาก” การใช้อำนาจโดยไม่มีความรู้ไม่ได้ผล นักการเมืองที่มีแต่วาทกรรมแต่ปราศจากความรู้ในบริบทของปัญหา จะทำอะไรไม่ถูกและเป็นอันตราย… ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง “นักการเมือง” จากเพียงแต่หาเสียงเก่ง มาเป็น “ผู้นำ” ที่มี “สมรรถนะสูง”
แต่…วิกฤติโควิดก็แสดงให้เห็นว่า ลำพังแต่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเก่งอยู่กลุ่มเดียวก็แก้วิกฤติไม่ได้ แต่คนไทยทั้งหมดต้องเก่ง และเก่งร่วมกันจึงจะเอาอยู่
“การยกระดับสมรรถนะของชาติให้สูงสุด จึงควรเป็นระเบียบวาระเร่งด่วนแห่งชาติ”
สมรรถนะนิยามสั้นๆ ว่า “รอบรู้ รู้รอบ ทำเป็น คิดเป็น จัดการเป็น” อาจเรียกว่า…สมรรถนะ 4 คือ รอบรู้ ทำเป็น คิดเป็น จัดการเป็น ส่วนจะบวกอีก 1 หรือ 2 หรือ 3-4 ก็ได้ เป็นสมรรถนะ 4+1 หรือ 2, 3, 4
ในการนี้มีเรื่องที่น่าจะคำนึงถึง ดังต่อไปนี้ หนึ่ง…ปฏิรูปการเรียนรู้ในระบบการศึกษาทั้งหมด ทุกระดับ เพราะระบบการศึกษาไทยที่ทำมา 100 กว่าปี เน้นที่การ “ท่อง” ไม่ได้เน้นที่การ “ทำ” จึงสร้างคนที่ ทำไม่เป็น คิดไม่เป็น จัดการไม่เป็น ขึ้นมาเต็มประเทศ ทำให้สมรรถนะของชาติโดยรวมต่ำ
ควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจจัดการศึกษาที่มีฐานอยู่ในการทำงานให้มากที่สุด
สอง…สำรวจทำแผนที่ (mapping) ว่ามีคนไทยที่เก่งๆ เรื่องอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง และส่งเสริมให้มีบทบาทที่ฝึกอบรมสร้างคนเก่งในรูปต่างๆ คนเก่งต้องเรียนรู้และฝึกกับคนเก่ง ทุกวันนี้นักเรียนเรียนกับคนทำอะไรไม่เป็นเป็นส่วนใหญ่ ประเวศ ย้ำว่า ข้อสองนี้จะเสริมกับข้อแรกข้างบน
สาม…สร้างสถาบันพัฒนาผู้นำที่เก่งๆจำนวนมาก มหาวิทยาลัยทั้งหมดควรมีสถาบันพัฒนาผู้นำ ควรศึกษาหาความรู้จากทั้งโลก ว่าหลักสูตรสร้างผู้นำที่เก่งนั้นควรเป็นอย่างไร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ควรมีนโยบาย…ยุทธศาสตร์เรื่องนี้ภาคธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงอย่างน้อย 100 บริษัท ควรมีสถาบันพัฒนาผู้นำ ทำให้ดีที่สุดในโลก สร้างคนไทยที่เก่งๆ คนไทยที่มีศักยภาพและมูลนิธิที่มีพลัง ควรก่อตัวเองสร้างสถาบันพัฒนาผู้นำที่เก่งๆในด้านต่างๆ
องค์กรของรัฐที่มีความสามารถ ควรสร้างสถาบันพัฒนาผู้นำอย่างมีเนื้อหาสาระ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นหลักสูตรให้ผู้คนมาสร้างคอนเนกชัน…สายสัมพันธ์ แต่…ขาดสมรรถนะจริงๆ
สี่…ส่งเสริมสื่อมวลชนจำนวนมาก พอสมควรให้มีสมรรถนะสูงในการรอบรู้ประเด็นสำคัญของประเทศ และพัฒนาการสื่อสารที่สนับสนุนการยกระดับสมรรถนะของชาติ
ห้า…พัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อยกระดับสมรรถนะของคนทั้งประเทศ ผู้เชี่ยวชาญระบบดิจิทัล กสทช. และผู้เข้าใจการพัฒนาสมรรถนะ ควรร่วมกันทำงานเรื่องนี้อย่างรีบด่วน
สุดท้าย…การก่อตัวของ “กลุ่มเซลล์สมอง” เพื่อพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์ยกระดับสมรรถนะของชาติ บุคคลที่สนใจและเข้าใจความสำคัญของการยกระดับสมรรถนะของชาติ ควรก่อตัวขึ้นก่อน เพื่อรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในเรื่องนี้ เมื่อปรากฏว่าเป็นของจริงและแน่นแฟ้น จึงพัฒนาไปเป็นองค์กร
เช่น “สถาบันพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์ ส่งเสริมสมรรถนะของชาติ” สังกัดกระทรวง อว. ก็ได้ แต่เป็นองค์กรรัฐที่เป็นอิสระทำงานทางนโยบาย…ยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับสมรรถนะของชาติให้สูงที่สุด
“วิกฤติโควิด” เราคนไทยต้องร่วมด้วยช่วยกัน เร่งเดินเครื่องยกระดับสมรรถนะของชาติให้สูงสุด เพื่อผ่านทุกวิกฤติที่เกิดขึ้นไปให้ได้.