เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
กลุ่ม“สวาทยานนท์”เจ้าของตึกมหาทุนพลาซ่า ผนึกพันธมิตร เข็นบริษัทอสังหาฯ’เพลินพัฒน์ แอสเสท’ลุยปั๊มโครงการอสังหาฯแนวราบในพื้นที่กทม.-หัวเมืองท่องเที่ยว รวม 7 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 3,734 ล้านบาท พร้อมขยายเซกเมนต์ชิงส่วนแบ่งตลาดลักชัวรี ในกทม.-ภูเก็ต กางโรดแมป 5 ปี พอร์ตรวมทั้งสิ้น 5,000-6,000 ล้านบาท อนาคตสนนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าปีนี้กวาดยอดขายรวม 1,400-1,500 ล้านบาท และยอดโอน 900 ล้านบาท โต 20% คาดปี 68 เทรนด์ดอกเบี้ยขาลง หนุนกำลังซื้อบ้าน
บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด บริษัทอสังหาฯน้องใหม่ ที่แม้จะเข้ามาอยู่ในตลาดได้ประมาณ 5 ปี (ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2561) แต่หากมาพิจารณาโครงสร้างผู้ถือหุ้นแล้ว ถือว่าคร่ำหวอดในวงการมานาน โดยตระกูล ‘สวาทยานนท์’ หุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท เพลินพัฒน์ เป็นเจ้าของ “อาคารมหาทุน” อาคารสูงย่านเพลินจิต ที่พัฒนาในนามบริษัท มหาทุนพลาซา จำกัด และร่วมกับตระกูล ศรีเฟื่องฟุ้ง ร่วมทุนกับเครือข่ายหอการค้าไทย-จีน พัฒนา “อาคารไทยซีซี ทาวเวอร์” สำนักงานให้เช่าบนถนนสาทร และยังมีอาคารสำนักงานให้เช่าย่านพระราม 3 เป็นต้น
นายพงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด กล่าวว่า จากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯทั้งธุรกิจของครอบครัวและร่วมทุนพันธมิตรมาหลายโครงการ เป็นระยะเวลาหลาย 10 ปี และมองว่าที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ยังเป็นปัจจัย 4 ที่มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งได้ร่วมกับนายณัฐพล ปิติเจริญทรัพย์ ก่อตั้ง บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ขึ้นมา โดยตนถือหุ้น 51% และอีก 49% เป็นการถือหุ้นโดยพันธมิตรอีก 2-3 กลุ่ม โดยการพัฒนาแต่ละโครงการจะตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาพัฒนา ภายใต้แบรนด์ “Maison Development”(เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์)
โดยการร่วมทุนในครั้งนั้นจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการพัฒนาแนวราบ ระดับราคา 2-5 ล้านบาทเป็นหลัก ในทำเลในกรุงเทพฯโซนเหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก จ.สมุทรปราการ และอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
“แม้ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2567 จะเป็นปีที่ท้าทาย โดยบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ยังมีความน่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ที่มียอดปฎิเสธสินเชื่อ (Reject) และหนี้เสียที่เพิ่มมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ในส่วนของบริษัทฯ แม้จะพัฒนาบ้านในระดับราคา 2-5 ล้านบาท แต่ด้วยศักยภาพของทำเลที่ดินที่พัฒนา ทำให้มียอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดี และหลังโควิด ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบก็มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มียอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง”
ดังนั้น แผนธุรกิจในปี 2567 นี้ บริษัทฯเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 7 โครงการ รวมมูลค่า 3,734 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ,ศรีราชา(ชลบุรี)และภูเก็ต (ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต) โดยปรับแผนรุกตลาดบ้านระดับลักชัวรี่ ราคาตั้งแต่ 7-20 ล้านบาท ถึงจำนวน 6 โครงการ แบ่งทำตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 5 โครงการ และ ภูเก็ต 1 โครงการ โดยมีที่ดินรองรับทั้งหมดแล้ว ได้แก่ 1.ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา บนพื้นที่ 24 ไร่เศษ ทาวน์โฮม ราคา 2.3-3.5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 3.9-4.2 ล้านบาท รวม 176 ยูนิต มูลค่าโครงการ 558 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 30% มูลค่าขาย 150 ล้านบาท
2.มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2 บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ราคา 7.5-14 ล้านบาท จำนวน 103 ยูนิต มูลค่า 1,060 ล้านบาท เปิดพรีเซลในเดือนพฤษภาคมนี้
3.เอ็ม เวนิว พระราม3-สุขสวัสดิ์ 62 บนพื้นที่ 5 ไร่เศษ ทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคา 4.9-6 ล้านบาท จำนวน 42 ยูนิต มูลค่าโครงการ 257 ล้านบาท
4.แกรนด์ มอร์เกน ไพรเวซี่ พรานนก-สาย1 บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พูลวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 100-120 ตารางวา ราคา 18-20 ล้านบาท จำนวน 14 ยูนิต มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท
5.แกรนด์ มอร์เกน พรานนก-สาย2 บนพื้นที่ 28 ไร่เศษ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 102-198.9 ตารางวา ราคา 14-16 ล้านบาท จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท
6.มาร์วิช สาธุประดิษฐ์-พระราม3 บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ ทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง ราคา 14-16 ล้านบาท จำนวน 29 ยูนิต มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท
และ7.เมซัน สกาย วิลล่า ภูเก็ต ระดับซูปเปอร์ลักชัวรี่ บริเวณหาดไม้ขาว ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของพูลวิลล่า 3 ชั้น ขนาด 43.5-69.75 ตารางวา ราคา 20-25 ล้านบาท จำนวน 8 ยูนิต มูลค่าโครงการ 180 ล้านบาทโดยทุกโครงการอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2567-2569
สำหรับในช่วง 5 ปีนี้ บริษัทฯยังคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคาตั้งแต่ 3-20 กว่าล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งยังมีที่ดินย่านหาดในทอน ประมาณกว่า 10 ไร่ โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า จะทำให้บริษัทมีพอร์ตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท และในอนาคตก็สนใจที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย
“วิลล่าหรูในภูเก็ต ยังเติบโต โดยตลาดหลักจะเป็นชาวรัสเซีย แต่ก็พบข้อมูลคนไทย เข้ามาซื้อพูลวิลล่าระดับราคา 40 ล้านบาท เป็นอีกตลาดที่บริษัทฯจะเข้าไปพัฒนาสินค้ารองรับ”
อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 1,400-1,500 ล้านบาท และยอดโอน 900 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2566 จาก 3 โครงการเดิมและ 7 โครงการที่จะเปิดตัวใหม่ในปี 2567 นี้
นายณัฐพล ปิติเจริญทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการบริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาอสังหาฯว่า จากสัญญาณที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลงตามที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คาดในครึ่งหลังของปี 67 จะส่งผลให้ในปี 68 ผู้บริโภคจะมีโอกาสได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
โดยจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่พัฒนาแล้วและโครงการใหม่รวม 13 โครงการมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาพัฒนามาแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2,325 ล้านบาท ปิดการขายไปแล้ว 3 โครงการ รวมมูลค่า 1,132 ล้านบาท ส่วนอีก 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย มีมูลค่าประมาณ 1,193 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมดภายในปี 2567 นี้.