ภูมิภาค
กมธ.ปปช. ลงพื้นที่รับฟังความคืบหน้าการตรวจสอบการสร้างโรงแรมคร่อมคลองสาธารณะ
วันจันทร์ ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2565, 20.16 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
วันที่ 11 ก.ค.65 ที่ห้องประชุมมุขหลังชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายสุทา ประทีป ณ ถลาง รองประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ปปช.)สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคืบหน้าการตรวจสอบการสร้างอาคารของโรงแรมแห่งหนึ่งคร่อมคลองสาธารณประโยชน์และการปรับปรุงเขตทางสาธารณประโยชน์ในบริเวณหาดกะตะน้อย ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยมีกรรมาธิการฯ, นายอานุภาพ ยอดขวัญ รอดระบำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต, เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต, นายอำเภอเมืองภูเก็ต, นายกเทศมนตรีตำบลกะรน, ตำรวจภูธรตำบลกะรน, กำนันตำบลกะรน, เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ร้องเข้าร่วม
ทั้งนี้นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ เลขานุการคณะกรรมาธิการฯ กล่าวในที่ประชุมว่า การทำงานของคณะกรรมาธิการฯ นั้น เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ได้ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบที่ทางราชการกำหนดไว้ครบถ้วนหรือไม่ แต่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา และ ทางเจ้าของที่ดินได้ประกาศต่อสาธารณะไม่ให้คณะกรรมาธิการเข้าดูพื้นที่ เพื่อดูแนวเขตทางสาธารณะว่าอยู่จุดใด จึงมองว่า เป็นการขัดข้องการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมาธิการฯ เพราะมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการมาแสวงหาข้อเท็จจริง จึงเสนอให้นายอำเภอเมืองภูเก็ตหรือนายกเทศมนตรีตำบลกะรน ได้มีการไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น เพราะจะเป็นประเด็นต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่นายอำเมืองภูเก็ตได้มีการไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ว่า มีการครอบครองที่สาธารณะ เพื่อเป็นพยานหลักฐานต่อไป
ทั้งนี้นายประเดิมชัย กล่าวสรุปภายหลังการประชุมฯ ว่า ด้วยมีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการฯ กรณีที่มีภาคเอกชนเข้าไปใช้พื้นที่ซึ่งเป็นที่สาธารณะ โยได้มีการลงพื้นที่จริง ก่อนที่จะมีการมาประชุมเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ต่อคณะกรรมาธิการฯ โดยเฉพาะประเด็น เขตทางสาธารณะกว้างประมาณ 2.5 เมตร ซึ่งก่อนนี้อำเภอเมืองภูเก็ตได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สภ.กะรน เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมายกรณีที่มีผู้ไปรุกล้ำที่สาธารณะ ถัดมาเป็นประเด็นการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีการนำ สค.1 และนส.3 ไปรวมแปลงออกโฉนด และมีที่ว่างซึ่งไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ เนื้อที่ประมาณ 158 ตารางวา และทางเจ้าพนักงานที่ดินได้มีการนำเสนอข้อมูลประกอบภาพ และจะมีการรายงานไปยังกรมที่ดินภายใน 30 วัน หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะได้มีการให้กรมที่ดินมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป เพราะเบื้องต้นพบว่า มีสิ่งปลูกสร้างเข้าไปอยู่ในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นอำนาจของท้องถิ่นในการออกคำสั่งให้รื้อถอนกรณีปลูกสิ่งปลุกสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตในที่สาธารณะ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นการร้องเรียนเรื่องของคลองบางรัก ซึ่งในการแสวงหาข้อเท็จจริงทางเจ้าพนักงานที่ดินได้ชี้แจงว่า ทางอนุกรรมการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศที่กรุงเทพมหานคร ได้ส่งเอกสารมาให้ ในชั้นนี้ทางจังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการฯ มาอ่านแปลภาพถ่าย ได้ข้อมูลว่า สิ่งที่ทางอนุกรรมการฯ ส่งมานั้นกับข้อเท็จจริงที่ทางกรรมาธิการฯ มีอยู่ไม่ตรงกัน ในเรื่องของความกว้าง ซึ่งยังสรุปไม่ได้ ระบุเพียงว่า เป็นทางน้ำไหล แต่ความยาวเบื้อต้นแจ้งว่า 240 เมตร ซึ่งทางกรรมาธิการฯ จะได้เชิญคณะกรรมการ อ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศมาให้ข้อมูลอีกครั้ง เนื่องจากกรรมาธิการฯ มีเอกสารหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายทางอากาศที่บ่งบอกกายภาพของคลองบางรักที่ชัดเจน และทางอำเภอได้ไปสอบพยานบุคคลซึ่งให้การตรงกันว่า คลองบางรักเดิมมีขนาดความกว้างไม่ใช่เป็นทางน้ำไหล รวมทั้งการที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ขึ้นรูปแผนที่บริเวณดังกล่าวที่ความยาว 240 เมตร เป็นทางน้ำที่มีสิ่งปลูกสร้างทับอยู่ และหากข้อเท็จจริงปรากฏเป็นข้อยุติว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นทางน้ำจริง ผู้ที่ไปก่อสร้างอาคารทับก็จะต้องมีการออกคำสั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่