หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและทยอยปิดตัวขายกิจการมากที่สุดในช่วงโควิด-19 คือ ธุรกิจโรงแรมและบริการ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวที่พึ่งพาอาศัยนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างภูเก็ต พัทยา หรือสมุย แต่ก็มีเหมือนกันกับธุรกิจโรงแรมที่อาศัยเวลาในช่วงโควิด-19 ในการวางแผนเติบโตและขยับธุรกิจสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์โฮสเทลอันดับ 2 ของโลกอย่าง ‘Destination Group’
[ เริ่มต้นจากซื้อโรงแรมที่มีปัญหา สู่ธุรกิจอาหาร-โฮสเทล ]
ราว 25 ปีก่อน ผู้ชายที่ชื่อ ‘แกรี่ เมอร์เรย์’ ก่อตั้งบริษัทใต้ชื่อ ‘Destination Group’ ขึ้นในฐานะบริษัทด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นการเข้าซื้อโรงแรมที่มีปัญหา โดยเริ่มต้นจากกิจการ ‘โรงแรม Melia’ โรงแรมระดับ 4 ดาวจำนวน 297 ห้องในตัวเมืองหัวหิน ก่อนอาศัยความชำนาญเข้าซื้อสินทรัพย์โรงแรมในพื้นที่ภูเก็ต หัวหิน สมุย พัทยา และกรุงเทพฯ เพิ่มเติมอีก
หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อธุรกิจโรงแรม ในปี 2551 ‘แกรี่’ ก็เริ่มต้นลงทุนในธุรกิจอาหารภายใต้เครือ ‘Destination Eat’ โดยการเปิดร้าน ‘ฮาร์ดร็อค คาเฟ่ ภูเก็ต’ ที่ประสบความสำเร็จจากความนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ก่อนขยับมาเปิดให้บริการ ‘Hooters’ ในปี 2557 และต่อยอดกลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์หลายแห่งด้วยสิทธิใช้แบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นในปี 2562 แกรี่ก็ตัดสินใจรุกเข้าสู่ธุรกิจ ‘โฮสเทล’ ด้วยการเริ่มต้นซื้อกิจการใต้แบรนด์ Collective Hospitality ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ Slumber Party Hostels และ Bodega Hostels ทั่วภูมิภาคเอเชีย
[ อาศัยช่วงโควิด ก้าวสู่เจ้าของโฮสเทลอันดับ 3 ของโลก ]
จนกระทั่งในปี 2563 การเข้ามาของแพนดามิก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการอย่างหนัก แต่เพราะ ‘แกรี่’ คิดว่าไม่ดีที่จะปิดโรงแรมและร้านอาหารไปเฉยๆ ทำให้แนวทางของ ‘Destination Group’ ในช่วงโควิดเป็นการเฟ้นหา ‘กลยุทธ์’ ใหม่ที่จะสร้างความได้เปรียบ
2020 ปิดกลุ่มธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
2021 วางการทำงานและการกลยุทธ์ในอนาคต
2022 กลับมาเปิดให้บริการทุกธุรกิจอีกครั้ง
“เราเลิกขายห้อง แต่เรามาขายประสบการณ์และความบันเทิงแทน” นั่นคือสิ่งที่แกรี่บอกและเริ่มให้ทีมนำไปพัฒนาต่อเป็นกลยุทธ์ในปี 2021 เพราะในช่วงโควิด-19 ทุกคนต้องติดอยู่กับบ้าน อยู่กับตัวเอง สิ่งที่คนจะมองหามากที่สุด ทันทีที่ออกจากบ้านได้จึงเป็น ‘ความสนุก’ และ ‘ประสบการณ์’ ที่แตกต่างจากการอยู่บ้าน
ดังนั้น ‘Destination Group’ จึงขยับเข้าสู่ธุรกิจโฮสเทลอย่างเต็มตัว โดยเน้น ‘ประสบการณ์’ เป็นจุดขาย อย่างโฮสเทลใต้แบรนด์ Slumber Party Hostels เน้นกลุ่มเจน Z ชอบปาร์ตี้จึงจัดเต็มเป็นโฮสเทลปาร์ตี้สุดเหวี่ยง หรืออย่าง Socialtel เน้นกลุ่มดิจิทัลโนแมดที่มีพื้นที่สำหรับการทำงานและเข้าสังคมอย่างลงตัว ทำให้จำนวนโฮสเทลของ ‘Destination Group’ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,400 ห้องพักในหลากหลายประเทศ ขยับสู่โฮสเทลอันดับ 3 ของโลกที่เตรียมจะขยับขึ้นอีกเร็วๆ นี้
นอกจากนั้น ยังเพิ่มพนักงานจาก 80 เป็น 120 คนเพื่อเข้ามาเสริมธุรกิจ และปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงาน รวมศูนย์การดำเนินงานบางส่วน อย่างฝ่ายบัญชี ฝ่ายการเงิน ฝ่ายบุคคล ฝ่ายจัดซื้อ และอื่นๆ เข้ามาอยู่ที่ศูนย์กลางในกรุงเทพฯ
กลับมาดูว่าปัจจุบัน ธุรกิจของ ‘Destination Group’ ประกอบด้วยอะไรบ้าง
⚫️ Destination Hospitality Management 6 โรงแรม
– โรงแรม Reverb by Hard Rock ป่าตอง ภูเก็ต
– โรงแรม Destination Resorts หาดกะรน ภูเก็ต
– โรงแรม Destination Resorts หาดสุรินทร์ ภูเก็ต
– โรงแรม Radisson หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์
– โรงแรม Radisson ภูเก็ต
รวมกว่า 1,300 ห้อง และโรงแรมที่กำลังอยู่ระหว่างรอเปิดอีก 1 แห่ง
⚫️ Destination Eat – Food & Beverage 15 แบรนด์
– Hooters
– Hard Rock Cafe หาดป่าตอง ภูเก็ต
– Drunk Leprechaun Irich pub
และแบรนด์อื่นๆ ในรูปแบบ Virtual Kitchen ไม่มีหน้าร้าน ใช้ครัวกลาง จัดส่งเดลิเวอรี
– Big Boy Burgers
– Power Eats
– Wow Cow Ice Cream
– Urban Grunge Coffee
– Boom Boom Burgers
– Scoozi Pizza
– Taco Delight
– Hanuman
– Gochan Chicken
⚫️Destination Hospitality party Hostel
– Collective Hospitality 4 แบรนด์ 50 แห่ง รวม 1,400 ห้องพัก
แบรนด์ Slumber Party Hostels โฮสเทลปาร์ตี้สำหรับนักเดินทางวัยหนุ่มสาว
แบรนด์ Socialtel โฮสเทลระดับ 4 ดาว
แบรนด์ Path Hostels โฮสเทลกระโจม
แบรนด์ Bodega Hostels โฮสเทลปาร์ตี้ชั้นนำ
สาขาในประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ สมุย ภูเก็ต เชียงใหม่
สาขาในต่างประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ศรีลังกา เวียดนาม
นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจในกลุ่ม Destination Events ที่ทำทั้งธุรกิจอีเว้นท์ ธุรกิจทัวร์ ธุรกิจกิจกรรมการท่องเที่ยวและอื่นๆ
[ ท่องเที่ยวไทยกลับมา 100% ปีหน้าไม่มีโลว์ซีซัน ]
ทันทีที่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยกลับมาเปิดบริการได้ปกติ ‘Destination Group’ ก็รับรู้ถึงผลสัมฤทธ์ของแผนที่วางมาตลอด
‘แกรี่’ บอกว่า ทำธุรกิจในเมืองไทยมา 27 ปี ไม่เคยพบเจอช่วงไหนที่โรงแรมทุกแห่งถูกจองเต็มไปตลอด 3 เดือนนับจากนี้ โดยธุรกิจที่พักในเครือ Destination Group มีอัตราการเข้าพักกว่า 80-90% และมีอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้นกว่า 80-90% เช่นเดียวกันกับ ‘อัตรากำไร’ ของที่พักในเครือที่เพิ่มจาก 32% สู่ 41-45% หลังจากการปรับปรุงประสบการณ์และประสิทธิภาพต้นทุน
“ตอนนี้เรียกได้ว่าท่องเที่ยวไทยกลับมาแล้ว 100% ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย และในปี 2023 คนจะท่องเที่ยวตลอดปีไม่ว่าจะเป็นหน้าท่องเที่ยวหรือไม่ก็ตาม ทำให้ในปีหน้าท่องเที่ยวไทยจะไม่มีโลว์ซีซันอีกต่อไป” แกรี่บอก
[ สู่แบรนด์โฮสเทลอันดับ 1 ของโลก ]
ส่วนแผนของ ‘Destination Group’ ในอนาคตอีก 3-5 ปีข้างหน้า คือ ธุรกิจโรงแรมเตรียมขยายเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง รวมกับปัจจุบันเป็น 8 แห่งในปี 2023 ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เตรียมขยายสาขาให้กับร้านที่ประสบความสำเร็จจาก Virtual Kitchen
ส่วนธุรกิจโฮสเทลจะขยายจาก 50 แห่งสู่ 100-120 แห่ง ทำให้ขยับจากโฮสเทลที่มีจำนวนเตียงอันดับ 2 ของโลกสู่อันดับ 1 ภายในปี 2023
“หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง คือ ผู้คน เรามีผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติจากหลากหลายที่มารวมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตอนที่คนอื่นเลิกจ้าง เราจ้างเพิ่มและตามหาคนที่เชื่อมั่นในสิ่งเดียวกันกับเรา ทำให้เราสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในเวลานี้และต่อจากนี้” แกรี่กล่าว