ชาวเน็ตถกสั่น หวั่นกระทบท่องเที่ยว ตำรวจภูธรป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ออกใบสั่งฝรั่งขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา ทางเฟซบุ๊ก สถานีตำรวจภูธรป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ได้รายงานการออกใบสั่ง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในพื้นที่หาดป่าตองหลังได้รับร้องเรียนจากประชาชนที่ใช้รถว่า มีบุคคลนำสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามาขี่ ซึ่งอาจเกิดอันตรายแก่ผู้ขับขี่ ความว่า
” วันที่16ก.พ.65 เวลา 18.30น.งานจราจร สภ.ป่าตอง ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.สุจินต์ นิลบดี ผกก.สภ.ป่าตอง ,พ.ต.ท.ปรีชา บาริงพัฒนกูล รอง ผกก.ป.สภ.ป่าตอง นำโดย พ.ต.ท.ภูมิ เสมวรนนท์ รอง ผกก.(สอบสวน) ทนท.ผู้ควบคุม จร.สภ.ป่าตอง ,ร.ต.อ.พงศ์พันธ์ เตชะวิทย์ ร้อยเวรจราจร และข่ายจราจร
จึงได้ทำการตรวจสอบบุคคลที่ใช้รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ในพื้นที่ ต.ป่าตอง จากการตรวจสอบ พบ นทท. ขับขี่รถสกูตเตอร์ไฟฟ้า บริเวณ ถ.ราษฎร์อุทิศ 200 ปี ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต จากการตรวจสอบ นนท.ไม่สามารถแสดงเอกสารเกี่ยวกับรถ และการจดทะเบียน เสียภาษี ตลอดจนที่มาของรถสกู๊ตเตอร์ได้
จึงได้ทำการออกใบสั่ง ในข้อหา “นำรถที่ไม่ได้จดทะเบียนและเสียภาษีมาใช้ในทาง และได้ทำการตรวจยึดรถสกู๊ตเตอร์ ไว้ที่ สภ.ป่าตอง เพื่อทำการตรวจสอบที่มาของรถ และดำเนินการกับเจ้าของรถในฐานความผิดตัวการ/ผู้สนับสนุน ในฐานความผิดดังกล่าว ต่อไป”
ทั้งนี้ เมื่อข่าวดังกล่าว เผยแพร่ออกไป ได้มีประชาชนจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น ส่วนใหญ่ไปในทำนองหวั่นกระทบการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวไม่ได้รู้กฎหมายเมืองไทยอย่างละเอียด และรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าดังกล่าวก็มีเอกชนให้บริการในพื้นที่ นักท่องเที่ยวก็อาจเข้าใจว่าใช้ขี่ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ตำรวจควรแจ้งทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการที่ให้บริการรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าโดยตรงน่าจะเหมาะสมกว่า การออกใบสั่งนักท่องเที่ยวอาจทำให้เกิดความประทับใจที่ไม่ดีได้
อย่างไรก็ตาม ทาง สถานีตำรวจภูธรป่าตอง ก็ได้อ้างอิงข่าวของ thaiquote ที่รายงานคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการกองบัญชาการศึกษา ฐานะเชี่ยวชาญกฎหมายจราจร เมื่อปี 2562 ว่า ”
รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ หรือกำลังไฟฟ้าและมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้าง มีล้อเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งล้อ และให้หมายความรวมถึงรถจักรยานที่ติดเครื่องยนต์ด้วย
ทั้งนี้รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้า และมีสองล้อ จึงเข้าข่ายเป็นรถจักรยานยนต์ การนำมาขี่บนถนนสาธารณะ เจ้าของต้องไปขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ได้ป้ายทะเบียนและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี หรือป้ายวงกลม และ เสีย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยทางรถยนต์ให้ถูกต้อง จึงจะนำมาวิ่งบบนท้องถนนได้”